เบลเยียม (Belgium) เป็นประเทศเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกของทวีปยุโรป เป็นประเทศที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมของเมืองเก่า และวัฒธรรมที่หลากหลาย รับรองเลยว่าใครไปก็ต้องชอบแน่นอน สำหรับประเทศเบลเยี่ยม จริง ๆ แล้วสามารถเที่ยวได้ทั้งปี ซึ่งแต่ละช่วงก็จะให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป โดยแบ่งตาม สภาพอากาศของเบลเยียม ดังนี้
- ฤดูใบไม้ผลิ (มีนาคม – พฤษภาคม): อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 8 – 15°C ช่วงต้นฤดูอากาศยังเย็นอยู่ แต่จะอุ่นขึ้นในเดือนพฤษภาคม ดอกไม้จะเริ่มบานแล้ว
- ฤดูร้อน (มิถุนายน – สิงหาคม): อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 20 – 25°C อากาศจะเย็นสบาย ท้องฟ้าโปร่ง เป็นช่วงที่เหมาะกับการเที่ยวมากที่สุด ถ่ายรูปมุมไหนก็สวย
- ฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน – พฤศจิกายน): อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 7 – 17°C สำหรับช่วงนี้อากาศจะเริ่มเย็นลง ใบไม้เปลี่ยนสีเป็นสีแดง ส้ม โดยเฉพาะในเดือนตุลาคมจะเป็ช่วงที่สวยมาก ๆ
- ฤดูหนาว (ธันวาคม – กุมภาพันธ์): อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 0 – 7°C อากาศหนาว มีหิมะตกตั้งแต่ช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน เพิ่มบรรยากาศโรแมนติก เหมาะกับการเล่นสกีหรือชมตลาดคริสต์มาสสุด ๆ
และสำหรับใครที่กำลังวางแผนจะไป เที่ยวเบลเยียม แต่ยังไม่รู้ว่ามีที่ไหนน่าเที่ยวบ้าง วันนี้ Travelzeed ขอแนะนำ 17 พิกัดที่เที่ยวเบลเยียมยอดฮิต ที่ไม่ควรพลาด พร้อมให้คุณเก็บภาพประทับใจให้เต็มเมมโมรี่กันไปเลย จะมีที่ไหนน่าไปบ้าง… ไปดูกันเลย!
1. จัตุรัสแกรนด์เพลส (The Grand-Place Grote Markt)
จัตุรัสแกรนด์เพลส (The Grand-Place Grote Markt) เรียกได้ว่าเป็นหัวใจของกรุงบรัสเซลส์ และถือเป็นหนึ่งในจัตุรัสที่สวยที่สุดในยุโรป โดดเด่นด้วยอาคารสไตล์บาโรกและกอธิก โดยเฉพาะศาลาว่าการเมือง ที่นี่เคยเป็นศูนย์กลางการค้าตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 15 และปัจจุบันได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโกในปี 1998 ไฮไลท์สำคัญคือเทศกาล พรมดอกไม้ (Flower Carpet) ที่จัดขึ้นทุกสองปี ในเดือนสิงหาคม พื้นที่ของจัตุรัสจะถูกปูด้วยดอกเบโกเนียนับแสนดอก บอกเลยว่าอลังการมาก
พิกัด: จัตุรัสแกรนด์เพลส (The Grand-Place Grote Markt)
2. โบสถ์อาวร์เลดี้ (The Church of Our Lady)
โบสถ์อาวร์เลดี้ (The Church of Our Lady) แห่งเมืองบรูจส์ เป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คสำคัญที่โดดเด่นด้วยหอคอยหินสูงกว่า 115 เมตร สไตล์โกธิก เป็นหอคอยอิฐที่สูงเป็อันดับสองของโลก ภายในโบสถ์มีประติมากรรม “Madonna and Child” ผลงานชิ้นเอกของ ไมเคิลแองเจโล ที่หาชมได้ยากที่อยู่นอกประเทศอิตาลี
พิกัด: โบสถ์อาวร์เลดี้ (The Church of Our Lady)
3. ปราสาทวาเลิน (Veves Castle)
ปราสาทวาเลิน (Veves Castle) หรือที่รู้จักกันใน ปราสาทเวฟส์ เป็นหนึ่งในปราสาทยุคกลางที่สวยมาก ๆ ของประเทศเบลเยียม ตั้งอยู่ในเขตวัลโลเนีย ทางตอนใต้ของเบลเยียม โครงสร้างของปราสาทสร้างขึ้นในสไตล์โกธิกยุคกลาง มีหอคอยแหลมสูงและกำแพงหินที่ได้รับการอนุรักษ์อย่างดีตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 ภายในตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์โบราณและของใช้ในราชสำนัก และยังมีห้องจัดแสดงภายในให้เรียนรู้ประวัติศาสตร์และวิถีชีวิตของชนชั้นสูงในยุคนั้นอีกด้วย
พิกัด: ปราสาทวาเลิน (Veves Castle)
4. หอคอยเซนต์รัมโบลด์ (St. Rumbold’s Tower)
หอคอยเซนต์รัมโบลด์ (St. Rumbold’s Tower) เป็นสัญลักษณ์เด่นของเมืองเมเคอเลิน (Mechelen) และเป็นหนึ่งในหอระฆังที่ยิ่งใหญ่ของเบลเยียม หอคอยแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของ มหาวิหารเซนต์รัมโบลด์ (St. Rumbold’s Cathedral) ที่มีความสำคัญทางศาสนาและประวัติศาสตร์มาตั้งแต่ยุคกลาง ด้วยความสูงกว่า 97 เมตร นักท่องเที่ยวสามารถปีนบันไดกว่า 500 ขั้นขึ้นไปยังยอดหอคอย เพื่อชมวิวเมืองแบบพาโนรามา 360 องศา และถ้าอากาศดีสามารถมองเห็นได้ไกลถึงกรุงบรัสเซลส์เลยนะ
พิกัด: หอคอยเซนต์รัมโบลด์ (St. Rumbold’s Tower)
5. ปราสาทกราเวินสทีน (Gravensteen Castle)
ปราสาทกราเวินสทีน (Gravensteen Castle) ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเกนต์ ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 12 เพื่อเป็นป้อมปราการในสมัยยุคกลาง ตัวปราสาทสร้างจากหิน มีหอคอย กำแพงสูง และคูน้ำล้อมรอบ ปัจจุบันเปิดให้เข้าชมในฐานะพิพิธภัณฑ์ ภายในจัดแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ ชีวิตความเป็นอยู่ของชนชั้นสูงในอดีต และไฮไลท์สำคัญคือ “ห้องทรมานโบราณ” ที่รวบรวมเครื่องทรมานจริงในอดีตไว้อย่างครบครัน
พิกัด: ปราสาทกราเวินสทีน (Gravensteen Castle)
6. จัตุรัสตลาดบรูจส์ (Bruges Market Square)
จัตุรัสตลาดบรูจส์ (Bruges Market Square) หรือที่รู้จักกันในชื่อ Grote Markt เป็นศูนย์กลางของชาวเมืองบรูจส์ บรรยากาศรอบ ๆ ถูกรายล้อมด้วยอาคารสไตล์กอธิกที่มีสีสันสดใส จุดเด่นของที่นี่คือ หอระฆัง Belfry of Bruges นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปชมวิวเมืองแบบพาโนรามาจากด้านบนได้ นอกจากนี้ยังเต็มไปด้วยร้านอาหาร คาเฟ่ และรถม้า บอกเลยว่านอกจากอิ่มท้องแล้ว ยังได้ภาพสวย ๆ แน่นอนค่ะ
พิกัด: จัตุรัสตลาดบรูจส์ (Bruges Market Square)
7. หอระฆังเมืองเกนต์ (Belfry of Ghent)
หอระฆังเมืองเกนต์ (Belfry of Ghent) เป็นหนึ่งในหอระฆังยุคกลางที่สำคัญที่สุดของเบลเยียม ด้วยความสูงประมาณ 91 เมตร ทำให้สามารถมองเห็นวิวเมืองเกนต์ได้ทั้งหมด หอคอยแห่งนี้สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 14 เพื่อใช้เป็นหอสังเกตุการณ์และเตือนภัย ในปี 1999 หอระฆังแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก นักท่องเที่ยวสามารถเลือกขึ้นลิฟต์หรือเดินขึ้นไปยังจุดชมวิวด้านบนเพื่อชมวิวเมือง พร้อมเรียนรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์ผ่านนิทรรศการภายในหอคอยได้อีกด้วย
พิกัด: หอระฆังเมืองเกนต์ (Belfry of Ghent)
8. มหาวิหารเซนต์บาโว (St. Bavo Cathedral)
มหาวิหารเซนต์บาโว (St. Bavo’s Cathedral) เป็นมหาวิหารเก่าแก่และมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งเมืองเกนต์ สร้างขึ้นในสไตล์โกธิกผสมเรเนซองส์ ไฮไลท์สำคัญคือภาพวาดระดับโลก “The Adoration of the Mystic Lamb” โดยพี่น้อง Van Eyck ซึ่งถือเป็นหนึ่งในผลงานศิลปะยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาที่ทรงคุณค่าที่สุดในโลก นอกจากนี้ มหาวิหารแห่งนี้ยังเคยใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีราชาภิเษกของกษัตริย์ในอดีต และยังเป็นสถานที่ฝังศพของบิชอปและบุคคลสำคัญอีกด้วย
พิกัด: มหาวิหารเซนต์บาโว (St. Bavo’s Cathedral)
9. โบสถ์เซนต์นิโคลัส (St. Nicholas Church)
โบสถ์เซนต์นิโคลัส (Saint Nicholas’ Church) เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ทางศาสนาที่เก่าแก่และสำคัญของเมืองเกนต์ ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 13 ด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์ เชลต์โกธิก (Scheldt Gothic) ซึ่งมีโครงสร้างที่แข็งแรงและเรียบง่าย โดดเด่นด้วย หอคอยทรงโคม (Lantern Tower) ที่อยู่ตรงกลางอาคาร ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของภูมิภาคลุ่มแม่น้ำเชลต์ ภายในตกแต่งด้วยหน้าต่างกระจกสี ปัจจุบันยังคงใช้จัดพิธีกรรมทางศาสนา และเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในจุดเช็กอินยอดนิยมเลยที่เดียว
พิกัด: โบสถ์เซนต์นิโคลัส (Saint Nicholas’ Church)
10. อาคารอะโตเมียม (Atomium Building)
อาคารอะโตเมียม (Atomium Building) คือหนึ่งในแลนด์มาร์กสมัยใหม่ที่โดดเด่นที่สุดของกรุงบรัสเซลส์ ถูกสร้างขึ้นเพื่อจัดงาน Expo 1958 โดยมีลักษณะเป็นรูปทรงคล้ายโครงสร้างของอะตอมเหล็ก ขยายขนาดขึ้นถึง 165 พันล้านเท่า โครงสร้างประกอบด้วยลูกทรงกลม 9 ลูกเชื่อมต่อกันด้วยท่อโลหะขนาดใหญ่ ภายในแต่ละลูกโดมมีการห้องจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ การออกแบบ และประวัติของอาคาร อีกทั้งยังมี จุดชมวิวจากยอดโดม ที่สามารถมองเห็นเมืองบรัสเซลส์แบบพาโนรามา 360 องศาได้อีกด้วย
พิกัด: อาคารอะโตเมียม (Atomium Building)
11. สวนซังกว่องแตนแนร์ (Parc Du Cinquantenaire)
สวนซังกว่องแตนแนร์ (Parc du Cinquantenaire) เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ใจกลางกรุงบรัสเซลส์ ถูกสร้างขึ้นในปี 1880 เพื่อเฉลิมฉลองการครบรอบ 50 ปีของการก่อตั้งประเทศเบลเยียม จุดเด่นของสวนคือ ประตูชัยขนาดใหญ่สไตล์โรมัน (Triumphal Arch) ที่ตั้งตระหง่านเป็นศูนย์กลาง โดยมีรูปปั้นม้าศึกและราชรถทองคำอยู่ด้านบน นแกจากนี้บริเวณรอบ ๆ ยังเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์สำคัญ เช่น Royal Museum of the Armed Forces และ Autoworld ที่จัดแสดงประวัติศาสตร์การทหารและรถยนต์โบราณอีกด้วย
พิกัด: สวนซังกว่องแตนแนร์ (Parc Du Cinquantenaire)
12. รูปปั้นมาเนเกนพิส (Manneken Pis)
รูปปั้นมาเนเกนพิส (Manneken Pis) เป็นรูปปั้นทองสัมฤทธิ์ขนาดเล็กของเด็กชายที่กำลังยืนฉี่ ตั้งอยู่ใกล้ย่านใจกลางเมืองเก่าบรัสเซลส์ แม้รูปปั้นนี้จะสูงเพียงประมาณ 60 เซนติเมตร แต่กลับกลายเป็นหนึ่งใน สัญลักษณ์สุดขี้เล่นและเป็นที่รักของเมือง จุดเด่นคือการที่รูปปั้นถูกแต่งกายด้วยชุดต่าง ๆ ตามเทศกาลหรือโอกาสสำคัญ โดยมีชุดสะสมมากกว่า 1,000 ชุดเลยนะ ทำให้ที่นี่กลายเป็นจุดถ่ายภาพยอดนิยมสุด ๆ ไปเลย
พิกัด: รูปปั้นมาเนเกนพิส (Manneken Pis)
13. มหาวิหารตูร์แน (Tournai Cathedral)
มหาวิหารตูร์แน (Tournai Cathedral) เป็นหนึ่งในมหาวิหารที่สำคัญของเบลเยี่ยม ตั้งอยู่ในเมืองตูร์แน ใกล้พรมแดนฝรั่งเศส โดดเด่นด้วย การผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมแบบโรมาเนสก์และกอธิก โดยเฉพาะโถงกลางขนาดใหญ่และหอระฆังทรงสี่เหลี่ยมทั้ง 5 ที่ตั้งเรียงกันอย่างสวยงามจนกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของมหาวิหารแห่งนี้ นอกจากนี้ ในปี 2000 ยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น มรดกโลกโดยยูเนสโก ด้วยคุณค่าทางประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรมที่หาชมได้ยากอีกด้วย
พิกัด: มหาวิหารตูร์แน (Tournai Cathedral)
14. แกลเลอรี รอยัล แซ็ง อูแบร์ (Royal Gallery of Saint Hubert)
แกลเลอรี รอยัล แซ็ง อูแบร์ (Royal Gallery of Saint Hubert) เป็นห้างสรรพสินค้าในร่มสุดหรูใจกลางกรุงบรัสเซลส์ และถือว่าเป็น ศูนย์การค้าในร่มแห่งแรก ๆ ของยุโรป เลยก็ว่าได้ ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 19 โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์นีโอเรเนซองส์ หลังคากระจกโค้งโปร่งแสง และเสาหินที่เรียงรายอย่างสวยงาม ตลอดแนวแกลเลอรีเต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย ไม่ว่าจะเป็น ร้านช็อกโกแลตแบรนด์ดัง คาเฟ่เก่าแก่สไตล์ยุโรป ร้านเครื่องประดับ และแฟชั่นดีไซเนอร์ท้องถิ่น บอกเลยว่าสายช็อปปิ้งต้องถูกใจสิ่งนี้แน่นอน
พิกัด: แกลเลอรี รอยัล แซ็ง อูแบร์ (Royal Gallery of Saint Hubert)
15. สถานีรถไฟกลางแอนต์เวิร์ป (Antwerp Central Station)
สถานีรถไฟกลางแอนต์เวิร์ป (Antwerp Central Station) ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสถานีรถไฟที่สวยที่สุดในโลก ถูกสร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1895 ถึง 1905 ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ออกแบบโดย Louis Delacenserie มีความโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรม สไตล์นีโอ-บาโรก ประกอบด้วยโดมขนาดใหญ่ เสาหินอ่อน และลวดลายตกแต่งอย่างประณีต ภายในคล้ายมหาวิหารมากกว่าสถานีรถไฟทั่วไป นอกจากนี้ยังเป็น ศูนย์กลางการคมนาคมหลัก เชื่อมต่อรถไฟทั้งในประเทศและระหว่างประเทศอีกด้วย
พิกัด: สถานีรถไฟกลางแอนต์เวิร์ป (Antwerp Central Station)
16. พิพิธภัณฑ์ช็อกโกแลตเบลเยียม (Chocolate Nation)
พิพิธภัณฑ์ช็อกโกแลตเบลเยียม (Chocolate Nation) ตั้งอยู่ในเมืองแอนต์เวิร์ป เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับช็อกโกแลตเบลเยี่ยม ตั้งแต่ต้นกำเนิดของโกโก้ในอเมริกากลาง การนำเข้ามาสู่ยุโรป ไปจนถึงกระบวนการผลิตช็อกโกแลตแบบดั้งเดิมและร่วมสมัย ผ่านเทคโนโลยีแสง เสียง และภาพเคลื่อนไหวที่เข้าใจง่ายและสนุกสนาน ไฮไลท์คือ โซนชิมช็อกโกแลตสดใหม่ ให้ผู้เข้าชมได้ลิ้มลองรสชาติที่หลากหลาย บอกเลยว่าใครชอบกินช็อกโกแลตห้ามพลาดเด็ดขาด
17. มหาวิหารแห่งพระโลหิตศักดิ์สิทธิ์ (Basilica of the Holy Blood)
มหาวิหารแห่งพระโลหิตศักดิ์สิทธิ์ (Basilica of the Holy Blood) เป็นโบสถ์เก่าแก่ที่มีความสำคัญทางศาสนาและประวัติศาสตร์มาก สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 มีจุดเด่นคือ การประดิษฐานพระโลหิตศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซู เชื่อกันว่าถูกเก็บรักษาโดยโยเซฟแห่งอาริมาเธีย และถูกนำมายังบรูจส์ในช่วงสงครามครูเสด มหาวิหารแห่งนี้ถูกแบ่งออกเป็นสองชั้น คือ ชั้นล่างถูกสร้างอย่างเรียบง่ายสไตล์โรมาเนสก์ ส่วนชั้นบนตกแต่งในสไตล์โกธิก ภายในยังมีงานแกะสลัก ภาพจิตรกรรม ในช่วงพิธีแห่พระโลหิตประจำปี จะมีผู้คนหลั่งไหลมาร่วมชมอย่างล้นหลาม ที่นี่จึงเป็นหนึ่งในสถานที่ทางศาสนาที่สำคัญและลึกซึ้งที่สุดของเบลเยียม