ถ้าใจคุณกำลังเรียกร้องหาที่เที่ยวที่เต็มไปด้วยธรรมชาติสุดอลังและหมู่บ้านโบราณริมผาที่จะทำให้คุณเหมือนหลุดออกมาจากนิยายจีนโบราณ Travelzeed ขอแนะนำ หุบเขาเทวดา หรือ วั้งเซียนกู่ (Wangxian Valley) แห่งเมืองซ่างเหรา มณฑลเจียงซี เป็นที่ที่รวบรวมทั้งภูเขาสูงตระหง่าน ลำธารใส และหมู่บ้านโบราณที่ห้อยอยู่ริมผากลางหุบเขา สำหรับใครสนใจ ทัวร์จีน หรือ ที่เที่ยวสไตล์ธรรมชาติที่ผสานวัฒนธรรมจีนดั้งเดิม ขอบอกเลยว่า ห้ามพลาดเด็ดขาด! เพราะความสวยงามของหุบเขาเทวดาแห่งนี้ จะทำให้คุณต้องอ้าปากค้างและอยากเก็บภาพรัว ๆ กลับบ้านแน่นอน! พร้อมแล้วไปไปทำความรู้จักที่นี่กันเลย!!!
หุบเขาเทวดา วั้งเซียนกู่ อยู่ที่ไหน?
หุบเขาเทวดา หรือที่รู้จักในชื่อภาษาจีนว่า วั้งเซียนกู่ (Wangxian Valley / 望仙谷) ตั้งอยู่ในตำบลหวางเซียน เมืองซ่างเหรา มณฑลเจียงซี ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศจีน เป็นหมู่บ้านริมผา ที่ตั้งอยู่ริมหน้าผาจริง ๆ ได้ถูกคัดเลือกให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวระดับ AAAA ของจีน ในปี 2022 ถือว่าเป็นเครื่องการันตีความอลังการและคุณภาพของสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นสายธรรมชาติ สายถ่ายรูป สายวัฒนธรรม หรือสายชิล ที่นี่มีครบ ทั้งวิวสวย หมู่บ้านโบราณ น้ำตก ลำธารใส อากาศบริสุทธิ์ และเรื่องราวตำนานลึกลับที่แฝงด้วยความเชื่อแบบเต๋า
ที่ตั้ง
ตำนาน…กำเนิดวั้งเซียน (Wangxian)
วั้งเซียน (Wangxian) คือ ดินแดนที่อยู่ท่ามกลางขุนเขา น้ำตก และลำธารใส ตั้งอยู่ในเมืองซ่างเหรา มณฑลเจียงซี ประเทศจีน มีพื้นที่กว้างกว่า 93 ตารางกิโลเมตร เต็มไปด้วยธรรมชาติบริสุทธิ์ หมู่บ้านโบราณ วิถีชีวิตเกษตรกรรม ประเพณีพื้นถิ่น ความเชื่อทางพุทธศาสนา และเรื่องเล่าในตำนานที่ฝังรากลึกในจิตวิญญาณของผู้คนในท้องถิ่น
ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ วั้งเซียนมีต้นกำเนิดมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออก และเจริญรุ่งเรืองในยุคสามก๊ก โดยเฉพาะเมื่อบุรุษชื่อ หู่เจ้า (Hu Zhao) หรือชื่อรองว่า ขงหมิง (Kongming) นักพรตผู้มีความสามารถทางการประพันธ์และคัดอักษร เลือกปฏิเสธคำเชิญของโจโฉ และตัดสินใจหลีกหนีความวุ่นวายของบ้านเมืองด้วยการอพยพข้ามแม่น้ำทางใต้พร้อมภรรยา มาปลีกวิเวกบนภูเขาแห่งนี้ หู่เจ้าตั้งรกรากอยู่ที่นี่ ใช้ชีวิตเรียบง่าย เขาศึกษาลัทธิเต๋า เก็บสมุนไพร ร้องเพลงในยามกลางวัน และนั่งสมาธิในยามค่ำคืนเพื่อฝึกจิตและค้นหาความสงบ บริเวณที่เขาอาศัยจึงกลายเป็นแหล่งรวมพลังธรรมชาติและพลังจิตวิญญาณอย่างกลมกลืน
ลูกชายของหู่เจ้า ได้สร้าง “หวั่งฉินไถ (Wangqintai)” หรือแท่นเฝ้ารอเชิงเขา เพื่อมองหาพ่อจากระยะไกลด้วยความห่วงใย ทุกวันปีใหม่ เขาจะขึ้นไปกราบไหว้ และในวันธรรมดา เขาจะสังเกตเปลวไฟยามเช้า และแสงไฟยามค่ำจากยอดเขา “ปู้กู่เฟิง (Pugufeng)” เพื่อยืนยันว่าพ่อยังปลอดภัยดี สื่อถึงสายใยแห่งความผูกพันระหว่างครอบครัวที่ไม่เคยขาดหาย กระทั่งปี ค.ศ. 251 ในสมัยอาณาจักรวู หู่เจ้าเสียชีวิตลงโดยไม่เจ็บไข้ใด ๆ ชาวบ้านต่างเชื่อว่าเขาได้บรรลุธรรมและกลายเป็น “เซียน” (Immortal) จึงร่วมกันสร้างวัดและรูปเคารพขึ้นเพื่อบูชา และยกย่องให้เขาเป็น บรรพบุรุษแห่งลัทธิเต๋าบนภูเขาหลิงซาน (Lingshan Mountain) ด้วยตำนานนี้เอง ชาวบ้านจึงขนานนามพื้นที่แห่งนี้ว่า “หวั่งเซียน (Wangxian)” หรือที่แปลว่า “การเฝ้ารอเซียน” สะท้อนถึงความศรัทธาและจิตวิญญาณที่หยั่งรากในธรรมชาติและวัฒนธรรมจีน
ค่าเข้าชมและเวลาทำการ
เวลาทำการ: เปิดทุกวัน 08:00 – 22:00 น. (หยุดขายบัตร 20:30 น.)
ค่าเข้าชม:
- ราคาปกติ (จันทร์-ศุกร์) 100 หยวน / (วันหยุดสุดสัปดาห์) 120 หยวน
- ราคาพิเศษ (เด็ก & ผู้สูงอายุ) 60 – 80 หยวน ต่อคน
- เด็กความสูงระหว่าง 1.2 – 1.5 เมตร
- ผู้สูงอายุ อายุ 65 – 70 ปี
- บุคลากรกลุ่มพิเศษตามเงื่อนไขที่สถานที่กำหนด
เที่ยวหุบเขาเทวดา วั้งเซียนกู่ ช่วงไหนดี?
- ฤดูใบไม้ผลิ (มีนาคม – พฤษภาคม) อากาศจะเย็นสบาย ไม่ร้อนหรือหนาวจนเกินไป โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 15 – 25 องศาเซลเซียส ต้นไม้จะเป็นเขียวขจี ดอกไม้เริ่มชูช่อทั่วทั้งหุบเขา เหมาะกับการเดินเขา ถ่ายภาพ และพักผ่อนท่ามกลางบรรยากาศที่สดชื่น
- ฤดูร้อน (มิถุนายน – สิงหาคม) อากาศจะค่อนข้างร้อนจัดและชื้น อุณหภูมิสูงเฉลี่ยอยู่ที่ 30 – 36 องศาเซลเซียส แถมยังมีฝนตกและพายุฟ้าคะนองเกิดขึ้นบ่อย ไม่ค่อยเหมาะสำหรับกิจกรรมกลางแจ้งหรือการเดินชมธรรมชาติเท่าไรนัก
- ส่วนใน ฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน – พฤศจิกายน) ถือเป็นอีกช่วงเวลาทอง อากาศเย็นกำลังดี อุณหภูมิประมาณ 16 – 26 องศาเซลเซียส ใบไม้เริ่มเปลี่ยนสี ท้องฟ้าเปิด แสงสวย เหมาะกับการถ่ายภาพ ชมวิว และเดินเล่นแบบชิล ๆ ท่ามกลางความเงียบสงบ
- ฤดูหนาว (ธันวาคม – กุมภาพันธ์) อุณหภูมิจะลดลงเหลือประมาณ 5 – 12 องศาเซลเซียส อากาศเย็นจัด บางวันมีหมอกลงหนา กิจกรรมบางอย่าง เช่น ล่องแก่ง หรือเดินทางเส้นผา อาจถูกจำกัดด้วยสภาพอากาศ
แนะนำ : ช่วงฤดูใบไม้ผลิ (มีนาคม–พฤษภาคม) และ ฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน–พฤศจิกายน) แล้วกันค่ะ เพราะมีอากาศเย็นสบาย วิวสวย ฟ้าเปิด เหมาะกับการเดินชมหมู่บ้านโบราณริมผาแบบไม่ร้อนหรือชื้นเกินไป
ไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาดในหุบเขาเทวดา วั้งเซียนกู่
1. หมู่บ้านริมหน้าผา
หมู่บ้านโบราณสุดคลาสสิกที่สร้างเรียงรายไปตามแนวหน้าผาสูงเสียดฟ้า ราวกับหลุดออกมาจากฉากในภาพยนตร์จีนย้อนยุค บ้านเรือนทำจากไม้และดินสีแดงส้มแบบดั้งเดิม กลมกลืนกับธรรมชาติอย่างสวยงาม ที่นี่เต็มไปด้วยมุมถ่ายรูปสุดปัง โดยเฉพาะช่วงเย็นที่มีการเปิดไฟประดับยามค่ำคืน โรแมนติกสุด ๆ
2. สะพานกลางหุบเขา
สะพานไม้ที่ทอดเชื่อมระหว่างหน้าผาสองฝั่ง ให้นักท่องเที่ยวได้เดินข้ามพร้อมชมวิวกลางหุบเขาแบบพาโนรามา 360 องศา สำหรับมุมนี้สายถ่ายรูปห้ามพลาดเด็ดขาด โดยเฉพาะช่วง Golden Hour ก่อนพระอาทิตย์ตก บอกเลยว่าถ้าไม่ได้มาถ่ายรูปตรงนี้ เหมือนมาไม่ถึงวั้งเซียนกู่จริง ๆ
3. จุดชมวิวผาปู้กู่เฟิง
หนึ่งในจุดชมวิวที่งดงามที่สุดของหุบเขาเทวดา จากจุดนี้สามารถมองเห็นทั้งหมู่บ้านและทิวทัศน์รอบ ๆ แบบเต็มตา ในตำนานกล่าวว่าเป็นจุดที่ลูกชายของหู่เจ้าเฝ้ามองดูไฟจากพ่อเพื่อความมั่นใจว่า “พ่อยังปลอดภัยดี” ปัจจุบันกลายเป็นจุดถ่ายภาพยอดนิยม และเต็มไปด้วยความหมายทางใจ
4. วัดโบราณกลางหุบเขา
วัดโบราณเก่าแก่ ที่สร้างขึ้นเพื่อบูชา “หู่เจ้า” เซียนผู้มีชื่อเสียงในตำนานท้องถิ่น ภายในมีทั้งรูปเคารพและศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์ที่นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปกราบไหว้ ขอพรให้ชีวิตสงบ ราบรื่น มีสุขภาพแข็งแรง และจิตใจผ่องใส เป็นอีกจุดที่ให้ทั้งความสงบทางใจและความรู้สึกเชื่อมโยงกับพลังศรัทธาแห่งหุบเขาโบราณแห่งนี้อย่างลึกซึ้ง
5. อาหารท้องถิ่นและงานฝีมือ
หลังจากชมธรรมชาติและวัฒนธรรมแล้ว ก็อย่าลืมแวะมาสัมผัส รสชาติท้องถิ่นแท้ ๆ ของชาวกั๋นเจีย ที่นี่คุณจะได้ลิ้มลองเมนูหายากอย่าง บะหมี่แห้งซอสเข้มสูตรโบราณ, ซุปสมุนไพรจีนอุ่น ๆ, และ ขนมพื้นเมืองหลากหลายชนิด ที่หอมหวานละมุนลิ้น นอกจากของกิน ยังมี งานฝีมือท้องถิ่น เช่น ของตกแต่งไม้ ผ้าทอมือ และของฝากจากธรรมชาติที่สื่อถึงวัฒนธรรมกั๋นเจียได้อย่างแท้จริง เป็นมุมที่ทั้งอร่อย อบอุ่น และได้ของดีติดมือกลับบ้านแน่นอน
6. การแต่งชุดฮั่นฝู
มาเที่ยวหมู่บ้านโบราณทั้งที จะพลาดชุดย้อนยุคได้ยังไง! ที่วั้งเซียนกู่ นักท่องเที่ยวสามารถเช่า ชุดฮั่นฝู สุดอลังการ แล้วเดินเล่นท่ามกลางฉากหมู่บ้านริมผา สะพานไม้โบราณ และทางเดินหินคลาสสิก เมื่อชุดงามเข้ากับวิวสุดคลาสสิก รับรองว่า ถ่ายภาพออกมาได้ฟีลราวกับเป็นตัวละครในซีรีส์จีนย้อนยุค ที่สำคัญคือมีบริการเช่าครบเซต ทั้งชุด ผ้าโพกผม และอุปกรณ์ประกอบฉาก บอกเลยว่าได้ภาพสวยระดับโปสการ์ดกลับบ้านแน่นอน
วิธีการเดินทางไปหุบเขาเทวดา วั้งเซียนกู่
สำหรับการเดินทางครั้งนี้ เพื่อให้นึกภาพตามง่าย ๆ เราจะเริ่มต้นกันตั้งแต่ที่ไทยเลยค่ะ ไปเริ่มกันเลย!!!
1. บินจากไทยไปจีน
- บินจาก กรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิ หรือ ดอนเมือง) ไปยังเมืองใหญ่ในจีนยอดนิยม เช่น:
- เซี่ยงไฮ้ (Shanghai Pudong / Hongqiao)
- หางโจว (Hangzhou Xiaoshan)
- หนานชาง (Nanchang Changbei)
2. เดินทางด้วยรถไฟความเร็วสูงไปยังเมืองซ่างเหรา (Shangrao)
- จาก เซี่ยงไฮ้ – ซ่างเหรา ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2.5–3 ชั่วโมง
- จาก หางโจว – ซ่างเหรา ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.5 ชั่วโมง
- จาก หนานชาง – ซ่างเหรา ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง
3. ต่อรถจากเมืองซ่างเหราไปหุบเขาเทวดา (Wangxian Valley)
- จาก สถานีรถไฟซ่างเหรา (Shangrao Railway Station)
- นั่ง รถแท็กซี่ / รถบัสท้องถิ่น / Didi (แอปรถคล้าย Grab) ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
เคล็ดลับเพิ่มเติม
- ควรเลือกไฟลท์ที่มาถึงจีนช่วงเช้า เพื่อจะต่อรถไฟไปซ่างเหราในวันเดียว
- จองรถไฟล่วงหน้าอย่างน้อย 3 – 5 วัน โดยเฉพาะช่วงเทศกาล
- เตรียมแอปพลิเคชันแปลภาษาและแผนที่จีน (เช่น Baidu Map) เพราะบางพื้นที่ไม่มี Google Services
- หากไม่สะดวกเดินทางเอง แนะนำจอง แพ็กเกจทัวร์จากไทย ที่มีบริการครบทั้งตั๋ว เครื่องบิน โรงแรม และไกด์