ทัวร์โมรอคโค โมรอคโค เชฟชาอูน

ประเทศโมรอคโค (Morocco) อาจจะคุ้นหูสำหรับใครหลายๆคน แต่หากถามว่าประเทศที่ได้รับขนานนามว่า “ดินแดนฟ้าจรดทราย” แห่งนี้ ตั้งอยู่บริเวณใดของโลก คาดว่าหลายคนคงได้แต่ส่ายหน้าเป็นคำตอบ วันนี้ Travelzeed จะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับ 10 สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของประเทศโมรอคโคที่ไม่ควรพลาด เมื่อมีโอกาสได้ไปเยือนดินแดนแห่งนี้

ก่อนอื่นมารู้จักกับข้อมูลทั่วไปของประเทศโมรอคโคกัน !

(cr. www.nytimes.com)

ประเทศโมรอคโค หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า ราชอาณาจักรโมรอคโค (Kingdom of Morocco)  เมืองหลวงคือ กรุงราบัต (Rabat) ตั้งอยู่ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปแอฟริกา พูดง่ายๆ คืออยู่ทางตะวันตกเกือบที่สุดของแผ่นดินสามทวีปซึ่งเชื่อมติดกัน คือเอเชียยุโรป และแอฟฟริกา ดังนั้นจึงเป็นสถานที่ที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายวัฒนธรรมจากหลากหลายทวีปที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวจนเกิดเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติที่หาที่ใดเหมือนมิได้ ด้วยลักษณะที่ตั้งภูมิประเทศ ที่ติดทั้งทะเลเมดิเตอเรเนียและมหาสมุทรแอตแลนติก และยังมีเทือกเขา Atlas ที่มีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี จึงทำให้ประเทศโมรอคโคมีอากาศแทบทุกรูปแบบ นอกจากนี้ก็ยังมีทะเลทรายที่ทำให้อากาศร้อนและแห้ง

ต่อไปเรามาชม 10 สถาปัตยกรรมสิ่งก่อสร้างและเมืองอันเลื่องชื่อที่ถ่ายทอดความเป็นโมรอคโคตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน

1. Marrakech (มาราเกซ)

เมืองมาราเกช ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาของเทือกเขา Atlas ที่ตั้งตระหง่านเป็นแนวกั้นระหว่างเมืองมาราเกซกับทะเลทรายซาฮาร่า ที่นี่คืออดีตเมืองหลวงเก่าและศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศโมรอคโค ที่ถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Pink City เนื่องจากรัฐบาลกำหนดให้บ้านทุกหลังทาสีชมพูอมส้ม ให้เหมือนกันหมดทั้งเมือง เป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวเดือนทางมาเยือนเยอะที่สุดเมืองหนึ่งเลยก็ว่าได้ ด้วยบรรยากาศอันครึกครื้นของตลาดหลายแห่ง และยังเป็นที่ตั้งของสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญทางประวัติศาสตร์มากมาย ไม่ว่าจะเป็น พระราชวังบาเฮีย (Bahia Palace) จัตุรัสเจมาเอลฟนา (Jemaa El Fna Square) และ สุเหร่ากูตูเบีย (Koutoubia Mosque) มัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในเมือง และเป็นแลนด์มาร์คของ Marrakech

(cr. www.thenomadicpeople.com)(cr.www.independent.co.uk )(cr. www.jemaa-el-fna.com)(cr. www.insightguides.com)

 

2. Fez (เฟส)

เมืองเฟส เมืองขนาดใหญ่อันดับต้นๆของประเทศ ที่แต่เดิมเคยเป็นเมืองหลวงของประเทศโมรอคโคยาวนานกว่า 400 ปี ในปัจจุบันถึงแม้เมืองหลวงจะย้ายไปตั้งอยู่ในกรุงราบัตแล้ว แต่ที่นี่ก็ยังคงเป็นศูนย์กลางสำคัญทางวัฒนธรรมและศาสนาที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่รู้จักทั่วโลกในฐานะศูนย์กลางของศิลปินและช่างฝีมือแบบดั้งเดิม กำแพงเก่าแก่ของเมืองนี้ หรือที่เรียกว่า Fes el-Bali เป็นมรดกโลกขององค์การยูเนสโกที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในเมืองประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่าที่สุดของโลกอาหรับมุสลิม สถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดในเมืองนี้ก็คือ มัสยิด Quaraouiyine โรงกลั่นเหล้าองุ่น Chaouwara สวน Jnan Sbil และ Medersa Bou Inania

(cr. everything-everywhere.com)

(cr. dissolve.com)(cr. www.kevinandamanda.com)(cr. www.flickr.com)

 

3. Essaouira (เอสเซาอิร่า)

เมืองเอสเซาอิร่า ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งแอทแลนติค เป็นเมืองที่เหมาะมากสำหรับใครก็ตามที่อยากหลบหลีกความวุ่นวายจากเมืองใหญ่ บริเวณชายฝั่งเป็นสถานที่ขึ้นชื่อสำหรับผู้ที่มองหากีฬาเอ็กซ์ตรีมทางน้ำ อย่าง ไคท์ เสิร์ฟ (kitesurfing) ส่วนในเมืองก็แพรวพราวไปด้วยความมีเสน่ห์ของถนนแคบๆ ตามตรอกซอกซอย หรือจะบ้านและป้อมปราการที่ถูกทาด้วยสีแดง หรือน้ำเงิน นอกจากนี้เมืองแห่งนี้ยังขึ้นชื่อในเรื่องของร้านอาหารทะเล และเทศกาลดนตรี Gnaoua World Music Festival ที่จัดติดต่อกัน 3 วัน 3 คืน ทุกปีที่เอสเซาอิร่า

(cr. www.heartmybackpack.com)(cr. eatdrinkkl.blogspot.com)(cr. www.lonelyplanet.com)

 

4. Chefchaouen (เชฟชาอุน)

เมืองที่เต็มไปด้วยอาคารบ้านเรือนสีฟ้าที่ตั้งอยู่ในหุบเขาทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศโมร็อกโก เป็นเมืองเก่าแก่และเต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อและศรัทธาต่อพระเจ้า ใกล้กับเมืองท่องเที่ยวใหญ่ ๆ อย่างเมืองเตโตอวน (Tetouan) และเมืองแทนเจียร์ (Tangier) โดยคนพื้นเมืองจะเรียกเมืองนี้ว่า เอลไลยุน ส่วนนักท่องเที่ยวจะเรียกตรงตัวตามภาษาอังกฤษคือ เชฟชาอูน บ้านเรือนในเมืองนี้จะถูกสร้างไล่ระดับตามลาดเขา โดดเด่นด้วยสีขาวตัดน้ำเงินที่ถูกแต่งแต้มตามผนังสิ่งก่อสร้าง รวมไปถึงทางเดิน เพื่อเป็นสัญลักษณ์ที่ให้ระลึกถึงสวรรค์บนฟากฟ้า นอกจากนี้อากาศของที่เมืองนี้ยังเย็นสบายตลอดทั้งปี เหมาะแก่การมาพักผ่อนของนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกสารทิศ

(cr. www.ynet.co.il)(cr. mowgli-adventures.com)(cr. cdn.civitatis.com)(cr. http://www.bar-o-bandil.com)(cr. www.touropia.com)

 

5. Merzouga (เมอร์ซูก้า)

เมอร์ซูก้า เมืองเล็กๆที่เป็นส่วนหนึ่งและมีอาณาเขตติดกับบริเวณทะเลทรายซาฮาร่า และทะเลทราย Erg Chebbi ที่นี่อากาศจะค่อนข้างแห้งและร้อน พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นทะเลทราย คุณจะได้มีโอกาสได้เห็นวิวทะเลทรายแบบ 360 องศา และยังมีบริการขี่อูฐ ขับรถ ATV กันเป็นแก๊ง เล่นสไลด์เดอร์บนเนินทราย หรือแม้แต่ sand-skiing และยังมีโอกาสได้เห็นสัตว์ป่าหายากที่พบแต่บริเวณทะเลทรายอีกด้วย นับว่าเป้นอีกเมืองที่ควรค่าแก่การไปเยือนทีเดียว

(cr. www.muchmorocco.com)(cr. www.inmedina.com)(cr. www.visit-morocco-sahara.com)

 

6. Jebel Toubkal

Toubkal เป็นยอดเขาสูงสุดใน Atlas Mountains ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติ Toubkal ด้วยความสูงที่ 4,167 เมตร ระยะทางบวกกับหนทางการเดินพิชิตยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะนั้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เมื่อขึ้นไปสู่จุดสูงสุดบนยอดเขาแห่งนี้แล้ว ทัศนียภาพจะเป็นเครื่องบ่งบอกความคุ้มค่าแก่ความเหน็ดเหนื่อยที่ทุกคนได้พยายามมามาเยือนที่แห่งนี้ ยอดเขาแห่งนี้ห่างจากเมือง Imlil ไม่มากนัก จึงทำให้สามารถปีนเขาและกลับไปยังเมืองได้ภายในวันเดียว แต่ขอแนะนำให้ขยายวันเดินทางออกเป็น 3 วัน จะดีต่อตัวผู้ปีนมากกว่า เนื่องจากจะมีเวลาได้ปรับตัวกับความกดอากาศที่ลดต่ำลงและระดับความสูง ทำให้ร่างกายไม่อ่อนล้าจนเกินไป

(cr. toubkal-trekking.com)(cr. wikimedia.org)(cr. summitpost.org)

 

7. Meknes (เมคเนส)

เมคเนส เมืองเล็กๆ ที่ผู้คนอยู่อาศัยกันแบบสบายๆ ไม่แออัดวุ่นวายเท่า Marrakech และ Fez นั้นเต็มไปด้วยความสวยงามตามแบบฉบับเมืองหลวงเก่าของประเทศโมร็อกโกในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 ไม่ว่าจะเป็นกำแพงเมืองล้อมรอบที่ยาวประมาณ 40 กม. ซึ่งมีประตูเมืองใหญ่โตถึง 7 ประตู หรือ ประตูบับแมนเซอร์ (Bab Mansour Monumental Gate)  ประตูไม้สลักที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุด ตกแต่งด้วยโมเสดและกระเบื้องสีเขียวบนผนังสีแสด ผสมกลิ่นอายสถาปัตยกรรมยุโรปที่ลงตัว

(cr. www.lonelyplanet.com)(cr. www.timetravelturtle.com)

 

8. Dades Valley (หุบเขาเดดส์)

หุบเขาเดดส์ พื้นที่บริเวณนี้มีเส้นทางน้ำสายเล็กๆ ไหลตัดผ่านคดเคี้ยวไปมา ก่อให้เกิดภูมิประเทศที่สวยงามแปลกตาด้วยการกัดเซาะพื้นดินและพื้นหินเป็นหุบเขาและธารเล็กๆ โดยไหล์ผ่านตรงกลางระหว่างเทือกเขา Jebel Sarhro และเทือกเขา Atlas หน้าผาตั้งตระหง่านแปรเปลี่ยนสภาพเป็นสีแดงเข้ม และเปลี่ยนสีไปตามแสงธรรมชาติที่สาดส่อง ส่วนเส้นทางที่ลงไปทางใต้จะเห็นแหล่งน้ำโอเอซิส (oasis) เป็นระยะๆ มีต้นปาล์มเขียวขึ้นโดยรอบแหล่งน้ำเหล่านั้น นอกจากนี้มีหมู่บ้านและป้อมปราการโบราณหรือคัสบาห์ (Kasbah) อยู่ตลอดทาง ภูมิประเทศและทัศนียภาพเช่นนี้มีให้เห็นเรื่อยไปจนถึงเขตทะเลทรายซาฮาร่า

(cr. travelhelix.com)(cr. cloudinary.com)

 

9. Tangier (แทงเจียร์)

เมืองแทงเจียร์ เรียกได้ว่าเป็นประตูสู่ทวีปแอฟริกา สำหรับนักท่องเที่ยวที่โดยสารผ่านทางเรือข้ามทะเลจากทางยุโรปทางใต้ เมืองนี้เป็นเมืองที่แสนจะเรียบง่าย ไม่มีอะไรให้ตื่นตาตื่นใจมากมายนัก แต่ก็ยังมีไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาด เช่น Kasbah Museum และ Ville Nouvelle นอกจากนี้ที่บริเวณท่าเรือยังมีทัศนียภาพที่งดงามของช่องแคบยิบรอลตาร์ และ ประเทศสเปนที่ทอดตัวห่างออกไป

(cr. www.cntraveler.com)(cr. www.lonelyplanet.com)

 

10. Asilah (อซิลาห์)

เมืองอซิลาห์ ตั้งอยู่บริเวณริมฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกทางเหนือ ด้วยทำเลที่ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งทำให้เมืองนี้คราคร่ำไปด้วยชาวโมร็อกโกที่ต่างพากันมาพักผ่อนในช่วงวันวันหยุดหน้าร้อนตลอดหลายเดือน มักกระจุกตัวกันอยู่ตามหาดทรายสวยที่ทอดยาว กำแพงเมืองแต่งแต้มไปด้วยงานประติมากรรมหลากสีสัน บ้านเรือนสีขาวตั้งเรียงกันสูงต่ำอย่างมีศิลปะ เดือนสิงหาคมของทุกปี จิตรกร ศิลปิน นักดนตรี และนักแสดงต่างๆ จะมารวมตัวกันที่เมืองอซิลาห์เพื่อสรรสร้างงานศิลปะและดนตรีขึ้นเติมสีสันให้กับเมืองแห่งนี้ นับว่าเป็นอีกเมืองที่มีเสน่ห์ไม่แพ้กับเมืองไหนๆเลยก็ว่าได้

(cr. www.itinari.com)(cr. www.cybevasion.fr)(cr. www.civitatis.com)

 

แหล่งข้อมูล : Tripsavvy

 

? รวมโปรแกรมโมรอคโค >> https://bit.ly/2AQuNbl

?Facebook : https://www.facebook.com/Travelzeed/

?Youtube channel : Travelzeed

?LINE ID : http://bit.ly/2HpKT0Q [@travelzeed อย่าลืมเติม @ ข้างหน้านะคะ]

Facebook Comments